กวางเจา-เซิ่นเจิ้น-ฮ่องกง

กวางเจา-เซิ่นเจิ้น-ฮ่องกง


วันแรก [03.12.05]

นั่งเครื่องบินคนเดียวเป็นครั้งแรก ตื่นเต้นดี กลัวขึ้นเครื่องผิดไปลงซัวเถาจะทำไงดีเนี่ย หัวเดียวกระเทียมลีบ เครื่องออกบ่ายสองครึ่ง ไปเช็คอินตั้งแต่เที่ยง บ้าป่าววะเรา... ไปเดินเล่นข้างใน Duty Free อยู่หลายรอบ เข้าห้องน้ำอีกสิบแปดรอบ ยังไม่เรียกขึ้นเครื่องซักที สงสัยเราจะมาเร็วไป ก็เลยถ่ายรูปเล่นไปพลางๆ

และแล้วก็ได้ขึ้นเครื่องซักทีกับ China Airline (CI642) ปลายทางฮ่องกง เครื่องใหญ่สะใจ Boeing 747 ได้นั่งตรงหลังปีก เกือบท้ายเครื่อง นั่งไปซักพักมีคู่สามีภรรยามานั่งข้างเรา ปรากฎว่าเป็นคนไทย อายุน่าจะซัก 32-35 เห็นจะได้ กำลังจะไปเที่ยวฮ่องกงกันสองคน แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ พูดจีนก็ไม่ได้ งานนี้ไม่รู้คู่นี้จะรอดหรือไม่ก็ไม่รู้กับชีวิตในฮ่องกงของเขา แค่ระหว่างเวลาที่อยู่บนเครื่อง ผมก็ต้องคอยเป็นล่ามให้เค้าทั้งคู่ เวลาที่คุยกับพวกแอร์ สอบถามได้ความว่าเพิ่งมาฮ่องกงเป็นครั้งแรก ตอนแรกเค้าจองเป็นแพ็คเกจทัวร์ไว้ แต่สุดท้ายโดนทัวร์ลอยแพ ก็เลยเหลือมากันสองคน เฮ้อ...ได้ฟังแล้วกลุ้มแทน แล้วจะรอดมั๊ยเนี่ย คู่นี้ ยังไงก็ขอให้เที่ยวให้สนุกนะครับ... ก่อนลงเครื่องมาขอบคุณผมที่ช่วยเหลือเขาตลอดการเดินทางบนเครื่อง "ขอบคุณมากครับ/ค่ะพี่" ไอ้หยา..เรียกเราพี่เลย เอ...เราหน้าแก่ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย

18.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ถึงฮ่องกงซักที ผมก็เพิ่งเคยมาครั้งแรกเหมือนพี่เค้านั่นแหละ ลงเครื่องมาเสร็จก็งงๆ ไม่แพ้กัน ได้แต่เดินตามคนอื่นเค้าไป เค้าไปไหนผมก็ขอไปด้วยละกันนะ แต่โชคดีสนามบินที่นี่ทำ information ไว้ได้ดีมาก ทำให้ทุกอย่างมันง่ายไปหมด ขอให้สุวรรณภูมิบ้านเป็นแบบนี้บ้างนะ...

ระหว่างเดินออกสนามบินมา ก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยยืนแจกลูกอม บางคนแจกแผนที่ฮ่องกง บางคนแจกเอกสารแนะนำแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินผ่าน แต่พอผมเดินผ่าน ไม่ยอมแจกให้ซะงั้น ยืนนิ่งกันหมดเลย นึกว่าเราเป็นคนฮ่องกงซะล่ะมั้ง เลยไม่ยอมให้... หน้าตาเรากลมกลืนกับคนที่นี่ขนาดนั้นเลยเหรอ หรือเห็นว่ามาคนเดียวเลยนึกว่าเราเป็นคนฮ่องกงกลับมาบ้าน ไม่ใช่นักท่องเที่ยว เพราะถ้าเป็นนักท่องเที่ยวไม่น่ามาคนเดียว ไม่เป็นไร ไม่ให้ก็ไม่เอาวะ หยิ่ง...

ออกมาหน้าประตู เจอหมูน้อยยืนรอรับอยู่ ดีใจจริงๆ เลย เกิดออกมาไม่เจอใครจะยืนแหกปากร้องไห้ขี้มูกโป่งตรงนั้นจริงๆ ด้วย จากนั้นเอาบัตรปลาหมึกยักษ์ (Octopus) ไปเติมเงินก่อน เพื่อไปขึ้นรถเมล์สาย A21 ไปลงในเมือง (ค่ารถเมล์ 33 เหรียญ) จากนั้นก็ต่อรถทัวร์เพื่อเข้าไปกวางเจาเลย (ค่ารถทัวร์ 125 เหรียญ)

นั่งรถไปซัก 40 นาทีก็ถึงด่านแรก ด่านฝั่งฮ่องกง ลงไปเช็ค passport แล้วก็ขึ้นรถต่อไปอีก นั่งไปตูดยังไม่ร้อนก็ต้องลงรถไปตรวจ passport ที่อีกด่านนึงเพื่อเข้าฝั่งจีน สรุปว่าด่านสองด่านนี้เดินไปก็ได้มั้ง ห่างกันนิดเดียว ไม่รู้มันจะแยกด่านกันไปทำไม ทำให้เราต้องขึ้นรถลงรถกันวุ่นวาย พอผ่านสองด่านนี้แล้วก็นั่งยาวเลย นั่งไปซัก 2-3 ชั่วโมงก็ได้เวลาประมาณ 5 ทุ่มก็ถึงกวางเจาซะที ก้าวแรกที่รู้สึกคือความหนาว ที่นี่หนาวกว่าฮ่องกงเยอะเลย แต่วันนี้ยังไม่เท่าไหร่ พอทน พอทน...

ถึงแล้วก็ต่อแท๊กซี่ไปยังที่พัก แท็กซี่ที่นี่เริ่มที่ 7 หยวนหรือประมาณ 35 บาท พอๆ กับบ้านเรา แต่ที่นี่นั่งไปเท่าไหร่ จะบวกเพิ่มอีก 1 หยวน ค่าราคาน้ำมันแพง... ถึงก็ไม่ทำอะไรแล้ว อาบน้ำนอนดีกว่า ดึกแล้ว... พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่
 
 
 
 
วันที่สอง [04.12.05]

ตื่นสายโด่งเลยวันนี้ อากาศดีทีเดียว เย็นพอสมควรแต่ไม่มาก ใส่เสื้อหนาวตัวเดียวก็อยู่แล้ว มีแดดด้วย ดีจังเลย... กำลังสบาย กินข้าวเสร็จก็จะเริ่มทำการสำรวจเมืองกวางเจาได้แล้ว...
 
“กวางเจา” หรือที่คนจีนออกเสียงสำเนียงว่า “กว่างโจว” นั้นเป็นเมืองหลวงของมณฑลกวางตุ้ง ปัจจุบันกวางเจากลายมาเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงติดอันดับต้นๆ ของจีนอยู่หลายอย่าง ทั้งเป็นเมืองแรกที่ได้รับจัดตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของจีน เป็นเมืองหน้าด่านของจีนกับฮ่องกง เป็นเมืองเศรษฐกิจการค้าที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในภาคใต้ของจีน ความทันสมัยในด้านต่างๆ จึงมีอยู่ให้เห็นโดยทั่วไป
 
 
เดินไปเจอสถานที่แห่งหนึ่งคือ “อนุสรณ์สถานจงซัน” สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์การปฏิวัติซินไฮ่ ซึ่งทำจีนหลุดพ้นจากระบอบการปกครองโดยจักรพรรดิ เปลี่ยนเป็นระบอบสาธารณรัฐ และเป็นพิพิธภัณฑ์ ดร.ซุนยัดเซ็น ( Dr.Sun Yat Sen Memorial ) สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึง ดร.ซุนยัดเซ็น ซึ่งถือว่าเป็นบิดาของคนจีน ยุคใหม่เป็นผู้ที่มีพระคุณกับชาวจีนอย่างใหญ่หลวงเพราะเป็นผู้ที่ปลดปล่อยชาวจีน ให้รอดพ้นจากสังคมเดิมที่ล้าหลัง และระบบกษัตริย์ราชวงศ์ชิง ซึ่งสถานที่นี้ก็ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองกวางเจาเลยก็ว่าได้ ก็เลยลองเข้าไปดูข้างในดู (เสียค่าเข้าด้วย แต่ไม่แพงมาก คนละ 5 หยวนมั้ง) วันนี้ดูเหมือนเค้าจะมีการจัดงานกัน เห็นมีการเตรียมการแห่มังกร เชิดสิงโตอะไรประมาณนั้น ภายในตัวอาคารจะเป็นสถาปัตยกรรมจีนโบราณซึ่งเป็นตึกแปดเหลี่ยม แต่มาวันนี้ไม่ได้เข้าไปดูภายใน เพราะเห็นบอกว่า ข้างในกำลังทำการประชุมอะไรซักอย่างกันอยู่ ก็เลยได้แต่เดินเล่นอยู่ด้านนอกอย่างเดียว
 
นั่งรถแท๊กซี่ไปอีกไม่ไกล ก็จะเป็นอนุสรณ์สถาน (อีกแล้ว) มั้ง คราวนี้เป็นของพวกวีรชนที่ทำการต่อสู้ในครั้งที่มีการก่อการปฏิวัติหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไอ้ผมก็ไม่ค่อนแน่นเรื่องประวัติศาสตร์ซะด้วยสิ อีกอย่างก็สถานที่ต่างๆ ที่นี่ก็ไม่ค่อยมี information ให้นักท่องเที่ยวซักเท่าไหร่ ถึงมีก็เป็นภาษาจีน อ่านมะเอาะอะ... ได้ใจความคุ้นๆ ว่าที่นี่เป็นที่ฝังศพของเหล่าวีรชน 72 คน (ตัวเลขอาจคลาดเคลื่อน จำไม่ได้แล้ว) ประมาณว่าเดินไป ก็จะเป็นหลุมศพของคนนี้ พอเดินไปอีกหน่อยก็จะเป็นหลุมศพของอีกคนนึงทำนองนั้น เนื่องจากเมืองกวางเจาเป็นเมืองที่มีประวัติมายาวนานเกี่ยวกับเรื่องการเมือง สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่นี่จึงเน้นไปในเรื่องของสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซะส่วนใหญ่ มาที่นี่เหมือนมาทัศนะศึกษามากกว่า เพราะว่าอาจจะได้รับรู้เรื่องประวัติศาสตร์จีนมากขึ้น
 
ตกเย็นไปเดินห้าง คนเยอะมาก เดินกันขวักไขว่ ของในห้าง ราคาไม่แตกต่างกับบ้านเราซักเท่าไหร่ เฮ้อ...เดิมมาทั้งวัน เมื่อยสุดยอดเลย ก็เลยไปนั่งดื่มชาจีนร้อนๆ 1 กา... (ตอนสั่งนึกว่าจะมาเป็นแก้ว แต่พอยกมา มาเป็นไหเลย ทำเอาอึ้งไปพักนึง ก็เลยนั่งดื่มนานนิดนึง)
 
 

วันที่สาม [05.12.05]

วันนี้ตอนเย็นไปเดินที่ถนนคนเดิน ระหว่างเดินไปผ่านหน้าร้านอาหารร้านนึง หน้าตู้มีแขวนตัวอะไรก็ไม่รู้หน้าตาประหลาด บ่งบอกไม่ได้ว่าเป็นตัวอะไร ขนาดๆ เท่าๆ ลูกหมู ตอนแรกนึกว่าหมูหัน แต่พอไปดูใกล้ๆ ขามันไม่ใช่หมูนี่หว่า ไม่ได้เป็นกีบแหะ ดันเป็นนิ้วๆ แล้วมันคือตัวอะไรหว่า ยืนพิจารณาอยู่พักนึงก็ได้รู้ว่ามันคือหมา ไอ้หยา...น่ากลัวมาก กินหมากันด้วยเว้ย คนที่นี่ มองเข้าไปในร้านก็มีคนกำลังนั่งกินกันอยู่ ไม่เอาด้วยหรอก ไปดีกว่า ท่าทางจะจริงอย่างที่คนเค้าว่ากันว่า "คนกวางตุ้ง (เมืองกวางเจา) กินทุกอย่างที่บินได้ เว้นแต่เครื่องบิน และกินทุกอย่างที่มีสี่ขาเว้นแต่โต๊ะและเก้าอี้"
 
 
ตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไปซักพักก็ถึง ถ.เป่ยจิง ซึ่งเป็นถนนคนเดิน ติดไฟประดับประตาสวยงามดี มีร้านอาหาร และร้านค้าขายของวัยรุ่นซะส่วนใหญ่บริเวณสองข้างทาง คล้ายๆ สยามแควร์บ้านเรา บริเวณถนนบางช่วงจะมีการเจาะพื้นลงไปเป็นชั้นๆ และติดป้ายบอกว่าพื้นถนนชั้นนี้เป็นพื้นถนนสมัยราชวงศ์ใด ช่วงปีที่เท่าไหร่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าถนนแห่งนี้เคยเป็นถนนการค้ามาตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว ทำให้เราได้รู้ว่าถนนสมัยก่อนเป็นมายังไง ถนนในแต่ละชั้นแต่ละสมัยก็จะมีลักษณะแตกต่างกันไป บางสมัยก็ทำด้วยหิน บางสมัยก็ทำด้วยอิฐ พอมาสมัยนี้ก็กลายเป็นปูน ทำนองนี้... ดูแล้วก็น่าตื่นเต้นดี นอกนั้นก็มีแบบจำลองผังเมืองกวางเจาในสมัยก่อนให้ดูด้วย ก็จะเห็นว่าบ้านเมืองในสมัยก่อน อยู่กันเป็นหมู่บ้าน มีกำแพงล้อมรอบเพื่อป้องกันจากข้าศึก (เหมือนในหนังจีนเลย)
 
 
จริงๆ ก็จะมีถนนคนเดินอีกแห่งหนึ่งคือ ถ.ซ่างเซี่ยจิ่ว ซึ่งเป็นถนนโบราณที่เชื่อมไปท่าเรือมาก่อน แต่ตอนนี้กลายมาเป็นถนนคนเดินที่มีของขายมากมาย และสองข้างทางยังมีกิจกรรมทางวัฒนธรรมของชาวท้องถิ่นให้ได้เห็นด้วย แต่ว่าไม่ได้ไปเดิน น่าเสียดาย
 
เดินเสร็จก็ไปกินข้าวที่ร้านนึง มีอาหารหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลี รวมทั้งไทยด้วย อาหารไทยที่เห็นก็มีต้มยำกุ้ง กับแกงเขียวหวาน แต่ไม่ได้สั่งอาหารไทยมากินหรอกนะ กลับไปกินที่บ้านเราน่าจะอร่อยกว่า รู้สึกจะสั่งสเต็กไปหรือเปล่าน้า จำไม่ได้ แต่อร่อยดีใช้ได้เลย
 
 
 
วันที่สี่ [06.12.05]

ห่างจากตัวเมืองไปทางเหนือ จะมีเขาไป๋หยุนซัน ที่เปรียบเสมือนปอดของคนกวางเจา วิวทิวทิศน์สวยงามสุดสายตาด้วยขุนเขาใหญ่น้อยกว่า 30 ลูก ว่ากันว่าฟ้าหลังฝน บนเขาจะมีหมู่เมฆขาวเคล้าเคลีย งดงามดุจแดนสวรรค์ อันเป็นที่มาของชื่อ ‘เขาเมฆขาว’ แห่งนี้ สามารถขึ้นไปโดยนั่งเคเบิ้ลคคาร์ หรือรถกระเช้า หรือใครอยากเดินขึ้นก็ได้ แต่ผมขอขึ้นกระเช้าละกัน ขาลงค่อยเดิน...
 
 
วันนี้อากาศหนาวมาก แดดก็ไม่มี ก็เลยทำให้หนาวเป็นพิเศษ แล้วพอยิ่งเวลาขึ้นมาถึงยอดเขายิ่งเพิ่มความหนาวเข้าไปอีก ไม่รู้ตอนนั้นจะเย็นซักกี่องศา แต่เริ่มหายใจออกมาเป็นควันแล้ว ขึ้นไปถึงก็สามารถชมวิวทิวทัศน์ของเมืองกวางเจาได้โดยรอบ แต่วันนี้ไม่มีแดด ทำให้มีเมฆหมอกมากเป็นพิเศษ ก็เลยเห็นวิวได้ไม่ชัดเจนนัก ก็เลยพยายามไปเดินเล่นบนยอดเขาแทน แต่เดินไปเดินมาก็หลง วนไปวนมาอยู่ที่เดิม จะไปไกลก็กลัวกลับไม่ถูก สุดท้ายก็เลยตัดสินใจเดินกลับดีกว่า
 
 
ขากลับลงเขาเลือกที่จะเดินลง เพื่อจะได้แวะชมต้นไม้ใบหญ้าระหว่างทางด้วย ระหว่างทางเดินลงก็จะผ่านวัดจีนเก่าแก่ ก็เลยได้เข้าไปแวะชมนิดหน่อย ลักษณะเป็นวัดเล็กๆ เงียบๆ อยู่กลางป่าเขาที่หนาวเย็น รู้สึกเงียบสงบดีนะ
 
เดินต่อไปซักพักเดียวก็ถึงตีนเขา บริเวณตีนเขาด้านล่างจะมีสวนดอกไม้และพันธุ์พืชตั้งอยู่ ก็ถือโอกาสเข้าไปเที่ยวชมซะเลย เพราะว่าวันนี้เป็นวันธรรมดามั้ง คนก็เลยน้อยถึงน้อยมาก แต่ก็ดี เราจะได้เดินและถ่ายรูปสบายหน่อย ภายในบริเวณสวนตามจุดต่างๆ ก็จะมีโคมไฟรูปต่างๆ ถ้ามาตอนกลางคืนเวลาเปิดไฟน่าจะสวยนะ
 
กลับมาถึงบ้าน ลงไปจ่ายตลาดใกล้ๆ เพราะเย็นนี้คงทำกับข้าวกินเอง ตลาดสดที่นี่ก็ใกล้เคียงกับบ้านเรา มีเป็นบางร้านที่ดูประหลาดๆ หน่อย อย่างร้านขายเป็ดพะโล้ ก็จะมีกระจกกั้นบริเวณแผงขายของมิดชิด เวลาคุยกันระหว่างคนขายกับคนซื้อ ก็คุยกันผ่านไมโครโฟนเวลาส่งของก็ส่งผ่านช่องเล็กๆ ที่เจาะเอาไว้ ไม่รู้ทำไม ส่วนที่น่ากลัวสุดก็ต้องเป็นแผงขายไก่ หน้าแผงก็จะเป็นเขียงสับไก่ มองไปในร้านก็จะเป็นกรงไก่ ข้างในมีไก่เป็นๆ ร้องกะต๊ากๆ อยู่เลย เวลาคนเค้ามาซื้อไก่ เค้าจะชี้ไปในกรงว่าจะเอาตัวนี้ ตัวนั้น คนขายก็จะไปเปิดกรงแล้วอุ้มไก่ตัวนั้นมาวางบนตาชั่งเพื่อวัดน้ำหนัก ถ้าคนซื้อตกลงเอาตัวนั้น คนขายก็จะลากไก่ตัวนั้นไปเชือดกันสดๆ เลย โอว..พระเจ้าจอร์ช มันสยองมาก พอดีวันนี้ได้เดินผ่านแผงขายไก่ ไอ้คนจีนข้างๆ มันจะเอาตัวที่อยู่ในกรงซะด้วยสิ มันชี้เสร็จ แม่ค้าก็จับมาชั่งน้ำหนัก ระหว่างมันนอนบนตาชั่ง ก็หันหน้ามามองหน้าเรา ทำตาปริบๆ ใส่เราอีก ก็เลยนึกในใจว่า "มองทำไม กูไม่ได้ซื้อมึงนะ อย่ามามองสิ เห็นแล้วสงสาร" ในใจก็ภาวนาให้ไอ้คนนั้นมันไม่เอา เพราะเราไม่อยากเห็นภาพอันสยดสยอง สุดท้ายมันก็ไม่เอา ไก่ตัวนั้นก็เลยได้กลับไปนอนในกรงตามเดิม ค่อยยังชั่วหน่อย
 
 

 
 
วันที่ 5 (07.12.05)

วันนี้จะไปเที่ยวที่เซิ่นเจิ้น เริ่มต้นออกไปขึ้นรถไฟด่วน นั่งจากกวางเจาไปลงเซิ่นเจิ้นเลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาทีก็ถึงแล้ว เพราะเป็นรถด่วนวิ่ง 160 กม./ชั่วโมง (ค่าตั๋วคนละ 65 หยวน) สภาพตัวรถ และความสะดวกสบายบนรถไฟเค้าดีกว่าบ้านเราเยอะ ไม่เหมือนบ้านเราที่กว่าจะนั่งไปถึง ก้นกบเดาะไปตามๆ กัน (ถึงก็ชั่ง ไม่ถึงก็ชั่ง ตลอดทาง) ระหว่างการเดินทางบนรถไฟ มีพนักงานเข็นรถเข็นมาขายของด้วย รู้สึกเหมือนตัวเองเป็น Harry Potter เลย ว่าจะขอซื้อช็อคโกแล็ตรสขี้มูกซะหน่อย ดันไม่มีซะได้...เฮ้อ
 
 
ถึงแล้วจ้า...เซิ่นเจิ้น พอลงรถไฟ สถานีรถไฟก็เชื่อมต่อกับรถไฟใต้ดินพอดีเลย สะดวกมากๆ ที่นี่เป็นสถานีรถไฟใต้ดินสถานีชื่อ Lo Wu แต่ที่ที่เรากำลังจะไปคือสถานี Shijiezhichuang (อ่านว่าไรหว่า) หรือคนส่วนใหญ่เรียกสถานี Window of the World เพราะน่าจะเรียกง่ายและจำง่ายกว่า และเป็นสถานีสุดท้ายของรถใต้ดินสายนี้พอดีเลย ถ้าจำไม่ผิดที่สถานี Window of the World ให้ออกประตู J ก็จะไปโผล่ที่หน้าประตูทางเข้าของเมืองจำลอง Window of the World พอดีเลย แต่ผมออกผิดไปออกประตู D เลยต้องเดินอีกนิดหน่อย...
 
เกริ่นก่อน...Window of the World เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากสำหรับคนที่มาเที่ยวเซิ่นเจิ้น Window of the World เป็นเมืองจำลองสถานที่สำคัญจากทั่วโลกมาไว้ที่นี้ ตามสโลแกนภาษาจีนที่เขียนไว้ว่า "คุณให้เราวันเดียว แต่เราให้คุณทั้งโลก" แปลให้ง่ายๆ หน่อยก็คือเค้าจะบอกว่าเค้าจะทำให้เราสามารถไปเที่ยวทั่วโลกภายในวันเดียว ถ้ายังนึกไม่ออกให้นึกถึงเมืองจำลองที่พัทยาบ้านเรา แต่ของเขาทำดีกว่าบ้านเราเยอะ ทั้งใหญ่กว่า เหมือนกว่า จำนวนมากกว่า จัดเป็นหมวดหมู่และเป็นระเบียบกว่า โดยแบ่งเป็นออกเป็น 9 โซนคือ World Square, Area of Asia, Area of Oceanic, Area of Europe, Area of Africa, Area of America, The Recreational Center of Modern Science & Technology, The Sculpture Park และ International Street รวมสถานที่จำลองแล้วก็กว่า 118 แห่งด้วยกัน โอว..จอร์ช แล้วเราจะดูหมดมั๊ยล่ะเนี่ย  ที่นี่เปิด 8 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม ค่าตั๋วคนละ 120 หยวนครับ
 
ก่อนอื่นคงต้องวางแผนเส้นทางการเดินซะก่อนว่าจะไปเดินชมยังไงดีถึงจะดูได้ครบทุกอย่าง ตกลงเราเลือกที่จะเดินไปทางซ้ายก่อน แล้วตีอ้อมรอบนอกไปเรื่อยๆ แล้วค่อยวกกลับมาตีวงในภายหลัง (วางแผนอย่างกับจะไปทำสงคราม) คือเลือกเดินเป็นก้นหอยจากข้างนอกเข้าไปหาข้างใน ทำนองนั้น... เริ่มด้วยทางด้านซ้ายรู้สึกจะเป็นโซนเอเซีย เพราะเห็นมีพวก นครวัด สวนและปราสาทญี่ปุ่น สิงโตพ่นน้ำของสิงคโปร์ รวมทั้งวัดพระแก้วของไทยก็อยู่โซนนี้ด้วย นอกนั้นก็จะมีสถานที่ที่มีชื่อเสียงต่างๆ ของโลกเยอะแยะมากมายตลอดเส้นทางที่เดินชม แต่ว่าผมไม่ค่อยรู้จักซักเท่าไหร่ (ประวัติศาสตร์ไม่แข็งจริงๆ) และตามสถานที่บางจุดก็จะมีกิจกรรมพิเศษให้ทำด้วย เช่น พอถึงทัชมาฮาล ก็จะมีชุดแขกให้เช่าใส่ถ่ายรูป หรือที่อียิปต์ก็มีให้ขี่อูฐถ่ายรูปกับปีระมิดและสฟิงซ์ด้วย ก็เข้าท่าดีไปอีกแบบ... บริเวณหอเอเฟลก็มีลิฟท์ให้ขึ้นไปชมวิวจากด้านบนได้ด้วย หรือจะไปเล่นสกีในโดมหิมะก็ได้เช่นกัน มีทั้งกระดานลื่น สกี หรือสโนว์บอร์ด แล้วแต่ใครจะถนัดเล่นอะไร ดูๆ ไปก็คล้ายๆ เมืองหิมะที่ดรีมเวิร์ล ที่จะมีเนินหิมะให้ไถลลื่นลงมา อ้อ..นอกจากนั้นก็จะมีโซนโลกดึกดำบรรพ์ด้วย มีหุ่นยนต์ไดโนเสาร์ขยับได้ ร้องได้ด้วย แต่ผมว่าเสียงไดโนเสาร์ที่นี่ร้องเสียงเหมือนคนปวดท้องตด หรือไม่ก็มีแก็สในกระเพาะเยอะเลยทีเดียว 555
 
 
 
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว รู้สึกว่ายังดูไม่ครบทุกที่เลย ตามจุดต่างๆ ก็เริ่มเปิดไฟกันแล้ว บรรยากาศตอนกลางคืนที่นี่ก็สวยงามไปอีกแบบจากตอนกลางวัน อีกอย่างก็คือตอน 2 ทุ่มครึ่ง ที่บริเวณ World Square จะมีโชว์การแสดงอีกด้วย แล้ววันหยุดของผมก็หมดไปอีก 1 วัน เหนื่อยและ พรุ่งนี้ค่อยเจอกันใหม่...
 
 
 
วันที่ 6 (08.12.05)
 
กิจกรรมวันนี้ไม่มีอะไรมาก ถือเป็นวันพักผ่อน จากที่ไปตะลุยเที่ยวมาหลายวัน เริ่มตั้งแต่เก็บกระเป๋า ขึ้นรถไปชายแดน นี่เราต้องผ่านด่านตรวจ passport ทั้ง 2 ด่านเพื่อออกจากเมืองจีน แล้วเข้าฮ่องกงอีกแล้วหรือนี่ แต่คราวนี้ใช้เวลานานกว่าตอนขาเข้าเมืองจีนเยอะเลย ไม่รู้มันจะตรวจหาอะไรนักหนา ทีขาเข้าให้ผ่านง่ายๆ แต่ตอนออกดันถามนู่นถามนี่อย่างกะจะสอบสัมภาษณ์ ภาษาอังกฤษของ ต.ม.(ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง) ฝั่งจีนก็ภาษาอังกฤษดีเหลือเกิน ฟังไม่รู้เรื่องเลย ยังอยากจะพูดอีก รีบๆ ตรวจรีบๆ ปล่อยดีกว่านะจ่านะ... คนต่อคิวก็เยอะแยะไม่แหกตาดูซะบ้างเล้ย... เดี๊ยะปั๊ด (แหะๆ ทำเป็นเก่งไปงั้นแหละ)
 
ถึงฮ่องกงแล้ว ว่าแต่ว่า...โรงแรมที่จองไว้มันอยู่ไหนหว่า บอกว่าอยู่ถนนวูซุก วูซุง อะไรซักอย่าง ไหนกางแผนที่ดูซิ อ้อ..ถนน Woo Sung อยู่ตรงนี้ โอเค..ปายยยย เดินไปเรื่อยๆ ก็เจอถนน Woo Sung ก็ตรงเข้าไปเลย แต่พอเดินไปจนสุดถนนก็ยังหาโรงแรมไม่เจอ หรือว่าโรงแรมมันอยู่ใต้ดินหว่า... หรือว่าโรงแรมมันเปลี่ยนชื่อไปแล้ว เอ๊ะ..หรือมันมันปิดกิจการหนีไปเรียบร้อยแล้ว (คิดไปต่างๆ นานา) ก็เลยหยิบที่อยู่ของโรงแรมขึ้นมาดูอีกรอบสิ โรงแรม Evergreen Hotel ที่อยู่ เลขที่ 42-52 ถ.วูซุง จุดจุดจุด...  เอ..ตอนนี้เราก็อยู่วูซุง เดินจนสุดก็ไม่เห็นมี แถวนี้มันเลขที่เท่าไหร่ว่า เหลือบไปมองเลขที่ตามร้านค้าแถวนั้น... ว๊าก...189 นี่เราเดินเลยมาตั้งร้อยกว่าบ้านเลยเหรอเนี่ย เดินย้อนครับพี่น้อง กลับไปทางเดิม ไล่ลงมาเรื่อยๆ จนเจอสี่แยกเดิมก็ยังไม่เจอโรงแรม ก็เลยมองไปฝั่งตรงข้าม อ้าว..ฝั่งนู้นมันก็ถนนวูซุงเหมือนกันนี่หว่า งั้นข้ามไปฝั่งนู้น มันตรงอยู่ฝั่งนู้นแน่ๆ ก็เลยเดินย้อนไปอีกจนเจอจนได้ เล่นเอาขาลากเหมือนกัน เพราะต้องแบกกระเป๋าเสื้อผ้าใบนึงหลายสิบโลไปไหนมาไหนด้วย...
 
ถึงโรงแรมก็ไม่ทำอะไร เช็คอินเสร็จก็วางกระเป๋าไว้อย่างนั้นก่อน ยังไม่อยากทำอะไร เหนื่อยจังวุ้ย... สำรวจห้องและโรงแรมก่อน โรงแรม Evergreen เป็นโรงแรมระดับ 3 ดาวของที่นี่ ตั้งอยู่ในย่านจิ่มซาจุ่ยที่หลายๆ คนรู้จักดี แม้ขนาดห้องพักดูจะเล็กไปหน่อย แต่ก็ถือว่าใหญ่แล้วสำหรับโรงแรมในฮ่องกงที่เนื้อที่แต่ละตารางมิลลิเมตรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด เรื่องสาธารณูปโภคถือว่าดีเยี่ยมใช้ได้เลยทีเดียวสำหรับโรงแรมนี้ เริ่มจากมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ใช้ หรือใครมีโน้ตบุ๊คที่เป็น WiFi ก็นั่งเล่นเนทในห้องพักตัวเองเลยก็ยังได้ มีห้องซักรีดซึ่งมีเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า เตารีดให้ใช้ แต่ทุกอย่างบริการตนเอง หากจะให้พนักงานโรงแรมซักรีดให้ก็มี แต่เสียเงิน ส่วนในห้องพักก็ตามปกติทั่วไป มีทีวี ตู้เย็น แอร์ ไฟหรืออุปกรณ์แสงสว่างทุกดวงในห้องสามารถเปิดปิดได้จากหัวเตียง จริงๆ ปุ่มคอนโทรลที่หัวเตียงเห็นมีปุ่มควบคุมทีวี และวิทยุด้วย แต่ไม่เห็นใช้งานได้แหะ หรือว่าเราใช้ไม่เป็นก็ไม่รู้ ส่วนอุปกรณ์ในห้องน้ำมีให้อย่างครบครันทั้งผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดผม สบู่ แชมพู แปรงฟัน ยาสีฟัน ด้ามโกนหนวดสำหรับผู้ชาย สำหรับผู้หญิงก็มีไดร์เป่าผมให้เลยที่หน้ากระจกในห้องน้ำแต่ละห้อง น้ำร้อนก็ร้อนได้สะใจดีเหลือเกิน เวลาเหนื่อยๆ แล้วได้ลงไปแช่น้ำร้อนๆ แบบนี้มันช่างมีความสุขเสียจริงนะพี่น้อง...
 
 
พอพักจนหายเหนื่อย ก็ลงไปเดินเล่นสำรวจร้านค้าแถวนั้นว่ามีอะไรบ้าง หาร้านอาหารสำหรับเย็นนี้ไปในตัว แต่นึกได้ว่าพรุ่งนี้เราจะไปฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์นี่หว่า แต่ยังไม่ได้ซื้อตั๋วเลย กลัวไปซื้อด้านหน้าทางเข้าคนน่าจะเยอะ น่าจะซื้อล่วงหน้าไปก่อน ไปถึงจะได้เข้าได้เลย นึกได้ดังนั้นก็เลยขึ้น MTR (รถไฟใต้ดินที่นี่เรียก MTR) สายสีแดงจากสถานี Jordan ไปลงสถานี Central จากนั้นเดินต่อผ่านทางเชื่อมสถานีไปยังสถานี Hongkong ที่นี่มีเคาน์เตอร์ Disneyland Ticket Express เปิดขายบัตรดิสนีย์แลนด์ในสถานีรถใต้ดิน สามารถมาซื้อที่นี่ได้เลย
 
หนุ่มไทย: "two adult tickets for tomorrow, please"
สาวฮ่องกง: "two hundred ninety five each for tomorrow ticket, how many tickets do you want?"
หนุ่มไทย: "two"
สาวฮ่องกง: "Ok, five hundred and ninety dollars.
หนุ่มไทย: ยื่นเงินไปหกร้อย
สาวฮ่องกง: ส่งตั๋วพร้อมเงินทอนมาให้แล้วพูดว่า "This is your tickets. The ticket date is here 09/02/05. Is it corret?"
หนุ่มไทย: "Yes, right" Thank you.
สาวฮ่องกง: "Bye bye"
 
เรีบบร้อย มีตั๋วแล้วสำหรับวันพรุ่งนี้ราคาคนละ $HK295 เพราะว่าเป็นวันศุกร์ ถ้าเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์หรือ holiday ของคนฮ่องกง จะราคา $HK350 ดังนั้นเวลาจะไป Disneyland ที่นี่ควรตรวจราคาตั๋วในแต่ละวันก่อนว่าวันไหนราคาเท่าไหร่ อีกอย่างที่ต้องตรวจสอบก็คือตารางการแสดงและกิจกรรมในแต่ละวันอาจจะไม่เหมือนกัน เช่นบางวันมี Disney Parage รอบเดียว บางวันมีสองรอบ หรือบางวันปิด 1 ทุ่ม บางวันปิด 2 ทุ่มหรือ 3 ทุ่มเป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้สามารถตรวจสอบได้ที่เว็บไซท์ http://park.hongkongdisneyland.com/hkdl/en_US/tools/calendar/monthlyCalendar?name=CalendarLandingPage

แนะนำให้ไปวันจันทร์หรือวันศุกร์น่าจะดีที่สุด เพราะตารางเวลาเหมือนกับวันหยุดเลย แต่ค่าบัตรเพียง $HK295 เปิดถึง 3 ทุ่มด้วย ไปสองวันนี้น่าจะคุ้มสุดคุ้ม อีกอย่างก็วันธรรมดาคนไม่เยอะมากด้วย เวลาต่อแถวเล่นเครื่องเล่นจะได้เร็วหน่อย แนะนำให้ไปวันจันทร์หรือศุกร์..."ฟันธง"
 
ซื้อตั๋วเสร็จก็ขึ้นไปเดินเล่นห้างด้านบน เนื่องจากสถานีรถใต้ดินสถานี Hongkong ตั้งอยู่บนฝั่งเกาะฮ่องกง ไม่ใช่ฝั่งเกาลูน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นตึกรามบ้านช่อง ห้างทรรพสินค้า หรือร้านค้าแถวนี้ล้วนแต่อลังการงานสร้างแทบทั้งนั้น ทั้งใหม่ ทั้งใหญ่โต หรูหรา และไฮโซ ลองนึกเอาว่าเดินอยู่ฝั่งเกาลูนเหมือนเดินอยู่แถวพัฒน์พงษ์ สีลม แต่พอข้ามมาฝั่งฮ่องกงเหมือนเดินอยู่เกษรพลาซ่า เอ็มโพเรียม สยามพารากอนรวมกัน... หลุยส์วิตตอง ปราด้า กุชชี่ อามานี่ เต็มไปหมด ตึกสำนักงานที่นี่ก็สูงเทียมเมฆแทบทั้งนั้น แต่ฝั่งนี้คนน้อยมาก ทางเดินก็โล่ง ถนนก็โล่ง สงสัยไปมัวไปช้อปที่ฝั่งเกาลูนกันหมด เดินผ่านหน้าร้านหลุยส์ วิตตอง เหมือนกำลังมีเตรียมงานอะไรซักอย่าง มีเอาแผงเหล็กมากั้นไว้ ช่างภาพก็เต็มเลย เหมือนว่าเตรียมรอใครซักคนจะมาทำนองนั้น ด้วยความสงสัยก็เลยเข้าไปด้อมๆ มองๆ บังเอิญตอนนั้นสะพายกล้องแบบเต็มยศซะด้วย กล้องก็ตัวใหญ่ ใส่เลนส์ ใส่แฟลชตัวเบ้อเร่อ เจ้าหน้าที่จัดงานเห็นเราก็เลยมาถามว่าเป็นนักข่าวใช่มั๊ย ไอ้เราก็เริ่มงง... สงสัยท่าทางของเราเวลาสะพายกล้องก็ใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย มองเราเป็นนักข่าวเลย ถ้าเราบอกว่าเป็นนักข่าว จะให้เราเข้าไปข้างในได้หรือเปล่าหว่า...  แต่ก็บอกไปตรงๆ ว่าเป็นแค่นักท่องเที่ยวครับ ก็เลยโดนไล่ให้ไปยืนที่อื่นซะงั้น งั้นไปก็ได้วะ จากนั้นมารู้ทีหลังว่า คนที่กำลังจะมาก็คือนางเอกละครซีรี่เกาหลีเรื่อง "แดจังกึม" โอว..รู้งี้ตอนนั้นบอกว่าเป็นนักข่าวซะก็ดี เผื่อฟลุ้คได้เข้าใกล้ดาราดัง...น่าเสียดาย
 
เดินสำรวจร้านค้าร้านนี้ซักพักเริ่มหลง หาทางกลับไม่เจอ ไม่รู้รถใต้ดินลงทางไหน สุดท้ายเดินกลับไปลงที่เดิมที่ขึ้นมาเมื่อตะกี้ ขึ้นรถกลับไปแถวที่พักย่านจิ่มซาจุ่ย เดินสำรวจร้านค้าแถวนั้นซักพัก ก็หาร้านกินข้าว แล้วกลับเข้าโรงแรม ออมแรงไว้เที่ยวดิสนีย์แลนด์พรุ่งนี้ดีกว่า พรุ่งนี้ต้องเหนื่อยแน่ๆ เลย...คิดว่า
 
 
วันที่ 7 (09.12.05)

วันนี้ว่าจะตื่นเร็วหน่อย จะได้ไปดิสนีย์แลนด์ตั้งแต่มันเปิดเลย แต่ก็ตื่นสายจนได้ แม้จะตื่นสาย แต่เราก็ยังไม่ลืม American Breakfast ที่โรงแรมจัดไว้ให้ (ไม่กินเดี๋ยวขาดทุน) พอกินเสร็จก็รีบวิ่งแจ้นไปขึ้นรถใต้ดิน (MTR) สายสีแดงจากสถานี Jordan ไปลงสถานี Lion King เอ๊ย..Lai King จากนั้นต่อสายสีส้มที่ Lai King ไปเกือบสุดสายไปลงสถานี Sunny Bay นอกเมืองนู่น (นั่งนานเหมือนกันแหะ) จากนั้นก็ต่อสายสีชมพูหวานแหววไปลงดิสนีย์แลนด์เลย ความประทับใจแรกก็คือได้เห็นรถไฟที่นั่งไปดิสนีย์แลนด์มันช่างน่ารักน่าชังซะจริงๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นหน้าต่าง ห่วงจับ ก็เป็นรูปมิคกี้เม้าส์ เบาะนั่งกำมะหยี่สีน้ำเงินนุ่มนิ่ม แต่ขึ้นไปแทบไม่มีใครนั่งเลย เดี๋ยวนั่งเดี๋ยวลุก แย่งกันถ่ายรูปกับพรึ่บพั่บ ซักพักก็จอดป้ายดิสนีย์แลนด์ แป๊ปเดียวเอง งั้นลงไปเที่ยวกัน...
 
ตอนนี้ก็ประมาณ 11 โมงพอดี มาถึงหน้าประตูทางเข้า คนไม่เยอะอย่างที่คิดแหะ มาวันศุกร์ก็ดีแบบนี้แหละ คนน้อยดี...ชอบ เวลาเล่นอะไรจะได้ไม่ต้องแย่งกัน เริ่มแรกเมื่อมาถึงหน้าประตูจะมีตรวจตั๋ว และตรวจกระเป๋าว่าคุณนำปลาร้าติดตัวมาด้วยหรือเปล่า (แหะๆ ล้อเล่น) ผ่านด่านตรวจตั๋วมาแล้วอย่าทิ้งตั๋วเด็ดขาดนะครับ เพราะมันจะมีประโยชน์ในภายภาคหน้าแน่นอน ก่อนอื่นแนะนำให้ไปขอตารางเวลาการแสดงต่างๆ ของวันนี้มาก่อน ให้ตรวจดูว่าวันนี้มีโชว์อะไรบ้าง มีกี่รอบ เวลาเท่าไหร่บ้าง เพื่อเราจะได้วางแผนถูกว่าจะไปทำอะไรก่อน อะไรหลัง เพื่อจะได้เก็บได้หมดทุกโชว์ และทุกเครื่องเล่นภายในวันเดียว ให้สังเกตดูว่าการแสดง หรือเครื่องเล่นบางชนิดจะมี Fast Pass หรือเป็นการจองคิวล่วงหน้านั่นเอง บริเวณหน้าเครื่องเล่นที่มี Fast Pass จะมีตู้ให้เราเอาตั๋วไปเสียบ แล้วจะได้ Fast Pass Card ออกมา (ตั๋วมีประโยชน์ตอนนี้นี่เอง) ในนั้นระบุว่าให้เรามาอีกทีตอนกี่โมง แล้วเราจะสามารถเล่นได้เลย ไม่ต้องต่อคิว ...เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่ไม่ใช่ว่าที่ไหนมี Fast Pass จะไปไล่เสียบได้หมดนะ มันรู้ว่าคุณขี้โกง มันให้คุณกด Fast Pass ได้ใหม่ก็ต่อเมื่อคุณได้ใช้อันเก่าไปแล้วเท่านั้น...
 
ผ่านเข้ามาก็จะเจอกับ Main Street, U.S.A. ก่อน จะเป็นพวกร้านค้าต่างๆ ขายของที่ระลึกต่างๆ (จริงๆ ข้างในตามโซนต่างๆ ก็จะมีอีก) ก็เลยแวะเข้าไปซื้อหมวกมิกกี้เม้าส์กับมินนี่เม้าส์ใส่กันคนละใบเพื่อให้กลมกลืนก่อน เข้าสุภาษิตที่ว่า "เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม" อ้อ...ได้หมวกหมากู๊ฟฟี่มาอีกใบ ใส่แล้วตลกดี ชอบๆ เลยซื้อมา เมื่อมีหมวกแล้วเราก็พร้อม แต่จะไปทางไหนก่อนดีน้า... งั้นเอาตามสูตรเดิมดีกว่า วนซ้ายครับพี่น้อง
 
 
เมื่อเจอทางแยก ไปทางซ้ายก็จะเป็น Adventureland ที่นี่ก็จะมีโชว์ชื่อ Festival of the Lion King เป็นโชว์แสงสีเสียง มีทั้งคนจริงๆ และคนแต่งชุดสัตว์เป็นตัวแสดง ในการแสดง ตัวละครบางตัวพูดภาษาอังกฤษ บางตัวพูดจีน ดูแล้วยังงงๆ มันคุยกันรู้เรื่องด้วยเหรอ โชว์นี้มีหลายรอบครับ แล้วแต่สะดวกว่าจะดูรอบไหนก็ค่อยมาละกัน แล้วก็มี Tarzan Island ซึ่งบนนั้นจะมีบ้านต้นไม้ของทาร์ซาน ซึ่งถ้าจะไปต้องลงแพนั่งไป แล้วขึ้นไปชมได้ เมื่อชมบ้านทาร์ซานเสร็จเวลากลับก็ต้องนั่งแพกลับมาเหมือนเดิม หรือใครอยากสนุกต่อก็ไปนั่งเรือเล่นกับ Jungle River Cruise ก่อนเข้าไปดูช่องดีๆ นะ เค้าจะแยกช่องไว้เป็น 3 ภาษา คือภาษาจีน อังกฤษ กับอะไรอีกอันก็ไม่รู้ ถ้าใครอยากฟังบรรยายบนเรือเป็นภาษาจีนก็ไปเข้าช่องภาษาจีนก็ได้ไม่ว่าอะไร แต่ผมขอเป็นภาษาอังกฤษละกันนะ ดีเหมือนกัน ช่องภาษาอังกฤษคนน้อยดี เพราะส่วนใหญ่มีแต่คนจีนมาเที่ยว นอกจากนี้ก็มีของเล่นอย่างอื่นอีกนิดหน่อย แต่อันไหนไม่ใช่ไฮไลท์ขอข้ามไปละกัน อีกอย่างคือทุกโซนจะมีร้านอาหารและร้านขายของที่ตกแต่งให้เข้ากับบรรยากาศตามแต่ละโซน พวกของที่ระลึกที่ขายในร้านในแต่ละโซนของก็จะไม่เหมือนกัน ดังนั้นของที่มีขายร้านนี้ ก็จะไม่มีขายในร้านอื่น... ถ้าคิดว่าชอบก็ซื้อได้เลย หรือถ้ายังลังเล ค่อยกลับมาซื้อทีหลังก็ได้
 
แวะไปต่อที่ Fantasyland โซนนี้ใหญ่สุดเลยมั้งเนี่ย นอกจากจะมีปราสาทที่เป็นจุดเด่นที่สุด แล้วก็จะมีเครื่องเล่น และไฮไลท์หลายอย่างในโซนนี้ เช่น ผจญภัยในบ้านหมีพูห์ ขี่ช้างดัมโบ้ นั่งถ้วยน้ำชา ม้าหมุน แต่ที่ผมชอบมากที่สุดก็คือ โรงภาพยนตร์สามมิติ (Mickey's PhilharMagic) แต่ผมว่ามันไม่สามมิติ นะ มันออกแนว 4 มิติซะด้วยซ้ำ จะเป็นอย่างไรนั้นไม่อยากบอก ให้ไปลองเองดีกว่า อีกอันที่ชอบก็คือบ้านหมีพูห์ ข้างในทำได้ตระการตาดี มีให้ถ่ายรูปตอนช่วงท้ายด้วย หนุกดีๆ แนะนำครับ...อันนี้ สำหรับโชว์ของโซนนี้มีโชว์ The Golden Mickeys at Disney's Storybook Theater วันนึงมีหลายรอบเหมือนกัน แต่ที่นี่ใช้ Fass Pass ไม่ได้ อยากดูรอบไหน มาต่อแถวรอเอาครับ ระหว่างนี้ขอไปกินข้าวก่อนนะ เดี๋ยวตอนบ่ายมีโชว์เดินพาเหรด
 
 
ร้านอาหารในโซน Fantasyland ชื่อ Royal Banquet Hall ตกแต่งสไตล์หรูหราเหมือนอยู่ในปราสาทของเรื่อง Beauty and the Beast มีอาหารให้เลือกหลายแบบ ทั้งสเต๊ก ติ่มซำ ข้าวราดแกง ซูชิ ปิ้งย่าง ก็เลยเลือกกินสเต๊กไปอ่ะ อาหารชุดที่นี่ราคาประมาณ 50 เหรียญ ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ ไม่แพงมากเมื่อดูจากคุณภาพและปริมาณที่ได้มา สะดวกดี

กินอิ่มแล้ว ไปดีกว่า... เอ้าตาย...นี่พาเหรดเค้าเริ่มเดินกันแล้วหรือนี่ ไม่ทันการซะแล้ว หาที่จับจองตั้งกล้องไม่ทันแล้ว อ่ะนั่นก้อนหินนี่หว่า ได้การแล้ว ไปยืนบนก้อนหินซะเลย... โอว จอร์ชเห็นชัดมาก แจ่มเลย...  ซักพักมีชายหนุ่มร่างกายกำยำเดินมา...
 
เจ้าหน้าที่:"ฉีซั่มปั๊ดถาโหงวเป่ยควั้นเฉียซีตงเป่า @#%$*฿!?"
 
ภาษาตั้งฮั่วเส็ง ฮั่วเซ่งเฮงมาเป็นชุด ฟังไม่รู้เรื่องเลย แต่เดาได้ว่า มันไม่ให้เรายืนตรงนี้... ก็เลยต้องลงมาแต่โดยดี "หาที่ใหม่ก็ได้วะ..." สุดท้ายไปส่องกล้องผ่านใต้จักแร้เด็ก อนาถสิ้นดี...  ไม่อยากเชื่อเลยว่าช่างภาพระดับโลกอย่างเราต้องมาทำอะไรแบบนี้ รู้ถึงไหนอายถึงนั่นเลย...
 
มาถึงโซนสุดท้ายของดิสนีย์แลนด์บ้าง Tomorrowland โซนนี้มีแต่เครื่องเล่น ไม่มีการแสดงโชว์ เครื่องเล่นที่ไม่ควรพลาดก็คือ Buzz Lightyear Astro Blasters คือเราจะนั่งอยู่บนยานที่บังคับให้หันซ้ายหันขวาได้ ขณะยานวิ่งไป จะต้องเอาปีนเลเซอร์ยิงตามเป้าต่างๆ ตามทาง เมื่อยิงโดน ก็จะมีคะแนนขึ้นที่ด้านหน้าที่นั่งของเรา งานนี้ทดสอบความแม่น ความไว และความช่างสังเกตครับ... เพราะคุณอาจเห็นเป้าพร้อมกัน 10 เป้า แต่คุณจะเลือกยิงอันไหนก่อนดีล่ะ อันนี้ไปคิดเอาเอง... สรุปออกมายิงได้ไป 4 แสนกว่าคะแนนมั้ง หรือ 6 แสนหว่าจำไม่ได้แล้ว ถือว่าอยู่ระดับกลางๆ มั้ง เห็นว่าสูงสุดเป็นล้านคะแนนแหน่ะ... สนุกดี แนะนำให้ไปลองเล่นดู เครื่องเล่นอีกอันก็คือ Space Mountain อันนี้เป็นรถไฟเหาะที่ตื่นเต้นใช่ย่อย ดังนั้นก็เลยสงวนไว้สำหรับวัยรุ่นเท่านั้น เด็ก สตรีมีครรภ์ และคนชราหมดสิทธิ์ครับ  อ้อ...อันนี้มีถ่ายรูปเหมือนกันนะ ใครไปเล่นระวังโดนแอบถ่าย
 
มืดแล้ว... อากาศเริ่มเย็นลง หิมะก็เริ่มตกโปรยปราย ช่างโรแมนติกซะจริง "อ้าว..งง งงกันใหญ่ ฮ่องกงมีหิมะตกด้วยเหรอ" อ่า..ก็พอดีช่วงที่ไปมันใกล้สิ้นปีพอดี ดิสนีย์แลนด์เค้าก็มีเทศกาล A Magical Christmas ขึ้นที่บริเวณโซน Main Street ก็เลยมีการประดับประดาไฟต้นคริสต์มาส และตามจุดต่างๆ สวยงามเลยทีเดียว แล้วตอนหกโมงเย็น ก็จะมีการปล่อยหิมะเทียมออกมาทั้งถนน Main Street เลย ว้าว...เกรท
 
 
จะสองทุ่มแล้ว คนเริ่มน้อยลง ใครที่พาลูกเล็กเด็กแดงมาคงพาลูกกลับบ้านกันหมดแล้ว แต่เรายังกลับไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะมีการแสดงดอกไม้ไฟอันยิ่งใหญ่ อลังการที่ด้านหน้าปราสาท อันนี้พลาดไม่ได้อยู่แล้ว ว่าแล้วคราวนี้รีบไปหาที่เหมาะๆ ตั้งกล้องดีกว่า เดี๋ยวจะชวดเหมือนตอนดูพาเหรดอีก
 
 
 
 
โหะๆๆๆ (หัวเราะเหมือนตัวร้ายในการ์ตูน) ได้ที่ตั้งกล้องที่เพอร์เฟ็คมากๆ ขอบอก อยู่ตรงกลางปราสาทพอดี ไม่มีคนมายืนบังอีกต่างหาก อะไรจะสุดยอดขนาดนี้ เหอๆ ที่เหลือก็ภาวนาอย่ามีใครมาบังนะ ถ้ามาจะกระโดดงับคอจริงๆ ด้วย ฮึ่ม... พอได้เวลาสองทุ่มเป๊ง... แสงไฟรอบๆ เริ่มดับลง เหลือแต่ไฟของปราสาทเท่านั้น ทำให้ตัวปราสาทดูเด่นขึ้นมาทันทีเลย จากนั้นก็เริ่มการแสดงดอกไม้ไฟอันยิ่งใหญ่ ที่สมกับการรอคอย ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ใช้เวลาทั้งหมดราวๆ 15 นาทีแหนะ ถือว่าเป็นการลงทุนที่เยอะมากสำหรับการแสดงพลุที่ยาวนานถึง 15 นาที คงหมดพลุไปหลายร้อยลูก คิดเป็นเงินก็คงหลายล้านอยู่นา... เยี่ยมจริงๆ คุ้มค่าที่รอดูโชว์นี้ครับ พอโชว์จบ...ผู้คนก็เริ่มทยอยกันเดินกลับบ้าน แต่ผมยังไม่กลับหรอก ยังอยากอยู่ต่อ จะว่าเป็นนาทีทองของการถ่ายรูปเลยก็ว่าได้ เพราะว่าไม่มีคนมาป้วนเปี้ยนเกะกะเฟรมให้ปวดหัวใจ ถ่ายรูปง่ายขึ้นเยอะเลย
 
ก็ไล่ถ่ายรูปกันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ข้างใน ไล่มาถึงข้างนอก มาจนถึงด้านหน้าทางเข้า ยังไม่เลิกถ่าย จนมาถึงป้ายที่ว่า "Thank you for visiting" เป็นการปิดฉากการเที่ยวดิสนีย์แลนด์ด้วยความประทับใจ
 
 
 
 
วันที่ 8 (10.12.05)
 
เมื่อวานเล่นเดิน เดิน และเดินทั้งวันในดิสนีย์แลนด์ แทบไม่ได้หยุดพักเลย งั้นวันนี้ขอเป็นวันสบายๆ บ้างแล้วกัน คนที่มาเที่ยวฮ่องกง แต่ละคนอาจมีจุดประสงค์ไม่เหมือนกัน บางคนมาเพื่อช้อปปิ้ง ผมเห็นคนไทยบางคน (โดยเฉพาะพวกสาวๆ) ในร้าน Esprit Outlet หอบหิ้วเสื้อผ้ากันประมาณว่าคงต้องไปหาซื้อกระเป๋าเดินทางเพิ่มด้วย ไม่งั้นคงขนกลับบ้านไม่ได้ ถามว่าถูกมั๊ย ก็ยอมรับนะว่าถูกกว่าบ้านเรา แต่ถูกกว่าเยอะมั๊ย ผมว่าแค่นิดหน่อยเท่านั้นแหละ ถ้าต้องถึงกับต้องซื้อกระเป๋าเพิ่มเพื่อขนกลับ หรืออาจจะมีค่าขนส่งอีก ก็คงไม่ต่างกับซื้อที่บ้านเรา ดูๆ ไปเหมือนเป็นค่านิยมหรือแฟชั่นมากกว่ามั้ง ที่ฟังมาจากคนอื่นปากต่อปากว่ามาฮ่องกงต้องช้อปปิ้งกันให้ตายไปข้างหนึ่ง ของถูกม๊ากมาก... 
 
สาวประเภท 1: นี่ตัวเองดูเสื้อตัวนี้สิ สวยมั๊ย
สาวประเภท 2:อิดสะเริ่ดเลยย่ะตัวเอง เข้ากะเธอม๊าก เท่าไหร่ยะ
สาวประเภท 1: ร้อยเก้าเก้าเอง ถู๊กถูก
สาวประเภท 2: ว๊ายเหรอ.. หยิบมาแปดตัวเลย เผื่อชั้นด้วยนะ ชั้นจะเอาไปฝากนังชะนี อีเห็ดสด แล้วก็อีบัวผันคนละตัว พอมั๊ย...
สาวประเภท 1: อุ๊ยต๊ายตาย ดูกางเกงในตัวนี้สิ เซ็กซี่มั่กมั่ก... เธอว่ามันจะเหมาะกับร่องตูดชั้นมั๊ยยะ
สาวประเภท 2: โอ้โห...สุดเดิ้นเลยล่ะแก มีสีชมพูมั๊ย ตูดดำๆ อย่างแก สีชมพูน่าจะเหมาะนะยะ
สาวประเภท 1: อ๋อเหรอ... ก็ได้ งั้นเอาสีชมพูโหลนึง โอเค๊...
.....

ณ เค้าเตอร์ชำระเงิน
สาวประเภท 1: How much ยะหล่อน?
แคชเชียร์ : Six thousand bla bla bla...
สาวประเภท 1: ซื้อตั้งเยอะแยะ แค่หกพันกว่าเองแก ถูกมั่กๆ อะฮ้า...
สาวประเภท 2:  ย่ะหล่อน
 
กลับมาเมืองไทย เอามาอวดเพื่อน...

สาวประเภท 2: นี่อีนังเห็ดสด ชั้นมีกางเกงชะนี เอ๊ย..กางเกงลิงมาฝากแกตัวนึง สวยมั๊ยยะ
อีเห็ดสด : ว้าย...สีมันโดนต่อมหมวกไตชั้นมากเลยล่ะแก ขอบใจนะยะ ท่าทางจะแพงนะเนี่ย
สาวประเภท 2: ไม่แพง ถูกม๊ากกกกกกกกก... ร้อยเดียวเอง ชั้นซื้อมาโหลนึง ก็เลยให้แก 1 ตัว เป็นไงยะ
อีเห็ดสด: หา...จริงเหรอ ร้อยนึง ก็ประมาณ 5 ร้อยกว่าบาทแหนะ โห..ใจป้ำซื้อกางเกงในแพงๆ มาฝากด้วย ขอบใจนะตัวเอง
สาวประเภท 2: เริ่มนับนิ้วในใจ รำพึงรำพันกับตัวเอง "ร้อยเดียวมันเท่ากับ 5 ร้อยกว่าบาทเลยหรือนี่ แล้วนี่กูซื้อไปหกพันก่า มันเท่าไหร่หว่า (กำลังใช้มันสมองอันน้อยนิดคำนวนอยู่) ว้าย! อกอีแป้นจะแตก สามหมื่นกว่าบาท โอย..จาเป็นลม"
สาวประเภท 2: นี่แก เอาคืนมาเลย...
อีเห็ดสด: อะไรยะ แกให้ชั้นแล้วมาเอาคืนได้ไงยะ อีผีทะเล
สาวประเภท 2: ใครผีทะเลยะ แกสิอีผีเปรตมาแย่งของของชั้น... ชั้นซื้อมานะ
 
แล้วเธอทั้งสองก็ตบตีกันอย่างเมามัน... งั้นปล่อยเธอทะเลาะกันไปก่อน เราตัดภาพมาที่ฮ่องกงกันต่อนะครับ
 
บางคนมาฮ่องกงก็มาท่องเที่ยวจริงๆ ก็ท่องไปทั้งเมืองเลย หรือบางคนมาเพื่อกิน เพราะอาหารที่นี่ก็ค่อนข้างขึ้นชื่อว่าล้ำเลิศ แต่ราคาก็อาจจะล้ำเลิศด้วยเช่นกัน ส่วนตัวผมเหรอครับ ผมเน้นมาถ่ายรูปมั้ง ก็คือไปไหนก็ได้ที่สวยๆ อยากไปตามที่ต่างๆ ให้มากที่สุดเพื่อถ่ายรูป แล้วก็มาดูอุปกรณ์กล้องที่เค้าว่ากันว่าถูกมาก แต่จากที่ดูดูแล้วมันก็ถูกเป็นอย่างๆ ไปนะ ไม่เชิงว่าถูกทั้งหมด อย่างเช่น Battery Grip ที่มีคนฝากซื้อก็ซื้อมาราวๆ ห้าพันบาท ถ้าเป็นเมืองไทยขายอยู่ที 6,800 บาทแหน่ะ ก็ถือว่าต่างกันพอสมควร อีกอย่างก็พวกกล้องดิจิตอลนี่ถูกกว่าเยอะเลย แค่ถามราคาครั้งแรกก็ถูกกว่าเมืองไทยแล้ว ถ้าต่อได้อีกก็จะยิ่งถูกกว่าเยอะเลย อีกอย่างก็แนะนำให้ต่อไปเยอะๆ ไว้ก่อน ให้ไม่ให้ค่อยว่ากันอีกเรื่อง เช่นกล้องที่เมืองไทยขายราคาราวๆ สามหมื่น ที่นู่นอาจจะขายซักสองหมื่นแปด ให้ลองต่อไปเลยสองหมื่นถ้วน ถ้าร้านมันให้ได้เราก็โชคดีไป แต่ถ้าร้านมันไม่ให้ เค้าก็จะบอกว่าเท่าไหร่ที่ลดได้สุดๆ อาจจะบอกว่า สองหมื่นห้าละกัน ถ้าเรายังไม่พอใจเราก็ไปร้านอื่นครับ ขณะเดินออกนอกร้านอาจจะมีเสียงตามหลังมาว่าสองหมื่นสองหรือสองถ้วนก็อาจเป็นไปได้ อันนี้ก็แล้วแต่จังหวะครับ ลองดู...  ส่วนเรื่องร้านไหนนั้น ถ้าให้อธิบายคงยาวเลย เอาเป็นว่าพวกร้านที่ติดไฟว้อบแว้บๆ ล่อแมลงเม่าอยู่ริมถนนนาธาน ไม่ต้องเข้าไปหรอกครับ ยิ่งบางร้านมีป้ายภาษาไทยติดไว้ด้วย ประมาณว่ากำลังเปิดร้านรอฟันเงินคนไทยที่หลงเข้าไปในร้านเลยว่างั้นเถอะ ถ้าในจิมซาจุ่ยผมแนะนำร้าน Tin Cheung (MTR Tsim Sa Tsui D2) ส่วนที่ Mong Kok แนะนำร้าน Wing Shing (MTR Mong Kok D3) หรือ Citicall ก็ได้ Citicall นี่เห็นมีหลายสาขาเลย อ้อ..ร้านที่ผมแนะนำนี่ไม่ได้แปลว่าจะขายถูกที่สุดนะครับ เป็นร้านที่ราคาสมเหตุสมผล และไว้ใจได้ครับ เพราะร้านบางร้านก็มีการนำของเก่ามาขายก็มี หรือซื้อไปแล้วไม่รับผิดชอบก็มี ต้องระวังครับ
 
กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่ไม่อยากให้พลาดสำหรับคนที่มาเที่ยวฮ่องกงก็คือการไปชม The Symphony of Lights ที่บริเวณ The Avenue of Star จะเป็นการแสดงแสงสีเสียงของตึกต่างๆ ที่อยู่ฝั่งฮ่องกง ให้เราที่อยู่ฝั่งเกาลูนได้ชมกันทุกวันตอนเวลาประมาณ 2 ทุ่ม แนะนำให้ไปก่อนเวลาซักหน่อย อาจจะไปตั้งแต่ 1 ทุ่มหรือทุ่มครึ่งก็ได้ ก่อนการแสดงก็ไปเดินเล่นบริเวณ Avenue of Star ไปก่อนได้ ที่นี่เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ด้านภาพยนตร์ของฮ่องกง มีรอยพิมพ์ฝ่ามือของดาราหลายคนบนพื้นถนนเหมือนกับที่ hollywood เลยทีเดียว เช่นมีรอยพิมพ์ฝ่ามือของ โจวเหวินฟะ, หลิวเต๋อหัว, เฉินหลง, เจ็ท ลี หรือ จอน วู และคนอื่นๆ อีกเยอะเลย และพอใกล้เวลา 2 ทุ่มจะสังเกตได้ว่าผู้คนจะเริ่มเยอะเป็นพิเศษ และเริ่มไปจับจองที่บริเวณริมขอบทะเลเพื่อรอดูการแสดง The Symphony of Lights นี้ พอได้เวลาการแสดงก็เริ่มขึ้น โดยมีเสียงและคำบรรยายออกทางลำโพงฝั่งเกาลูน (Avenue of Star) แต่การแสดงอยู่บนฝั่งฮ่องกงอีกฟากโน้นนู่นแหนะ เริ่มแรกก็จะเป็นการแนะนำตึกต่างๆ บนฝั่งฮ่องกงก่อนว่าชื่ออะไรบ้าง ขณะที่แนะนำชื่อตึกไหน ตึกนั้นก็จะโชว์ไฟตึกของตัวเองเป็นการแนะนำตัวให้ผู้ชมก่อน เมื่อแนะนำเสร็จแล้วจากนั้นก็จะเป็นการแสดงแสงสีเสียงร่วมกันระหว่างตึก มีทั้งการกระพริบไฟ ไฟวิ่งไปวิ่งมา เปลี่ยนสีได้ ยิงไฟขึ้นท้องฟ้า ยิงเลเซอร์ ที่สำคัญยังตามจังหวะเพลงที่เปิดอีกด้วย น่าทึ่งมากทีเดียว การแสดงนี้ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ที่สำคัญชมฟรีได้ทุกวันครับ...ที่ Avenue of Star เวลา 2 ทุ่มตรง ใช้เวลาแสดงประมาณ 10 นาทีเท่านั้นนะ... ไปช้าระวังอดดู
 
 
 
 

วันที่ 9 (11.12.05)
 
วันนี้วันอาทิตย์ซะแล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องกลับเมืองไทยแล้วหรือนี่ ตอนไปเที่ยวนี่ เวลามันช่างเดินเร็วจริงๆ เลย แป๊ปเดียวเองผ่านไปจะสิบวันแล้วเหรอเนี่ย งั้นวันนี้ก็ได้เที่ยวเป็นวันสุดท้ายแล้วสิ ว้า...เสียดายจัง สำหรับโปรแกรมวันนี้คือตอนเช้าไปดูพระใหญ่ที่วัดโป่หลินก่อน เสร็จแล้วไปจุดชมวิวเพื่อชมสะพานใหญ่ 2 แห่งของเกาะฮ่องกง เสร็จแล้วตอนเย็นค่อยไปดูวิวที่ The Peak
 
 
เริ่มการเดินทางวันนี้โดยการขึ้น MTR จากที่พักไปลงสถานี Lion King เอ๊ย..สถานี Lai King เอาอีกละ...จำชื่อสถานีนี้ผิดอยู่เรื่อยเลย ทำไมไม่เปลี่ยนเป็น Lion King ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปวะ จากนั้นต่อสายสีส้มไปสุดสายเลยไปลงสถานี Tung Chung เสร็จแล้วต้องต่อรถเมล์สาย 23 ไปอีกเกือบชั่วโมงนึงแหนะกว่าจะถึงวัดโป่หลิน ที่นานไม่ใช่มันไกลหรอก ทางที่จะไปมันทำให้วิ่งได้ช้าต่างหาก ทั้งชัน ทั้งโค้งเยอะแยะ กว่าจะถึงเกือบอ้วกแตกตาย งานนี้ใครเมารถไม่แนะนำเด็ดขาด (ค่ารถเมล์คนละ 25 เหรียญแหนะ ไป 25 กลับอีก 25 สรุปค่ารถไปกลับคนละ 250 บาท เพราะว่าเป็นวันอาทิตย์ ถ้าไปวันอื่นค่ารถ 16 เหรียญเอง) เสียดายที่ Cable Car ยังสร้างไม่เสร็จ ถ้าเสร็จคงไม่ต้องลำบากไปรถเมล์ให้เวียนหัวเยี่ยงนี้
 
ถึงแล้ว วัดโป่หลิน จะขึ้นไปชมองค์พระใหญ่ต้องซื้อบัตรด้วย มีบัตรให้เลือกสองแบบคือ บัตรอาหารกลางวัน ราคา 60 เหรียญ กับบัตรอาหารว่าง ราคา 23 เหรียญ งั้นผมขอบัตรอาหารว่างละกัน เพราะไม่ได้กะจะมากิน... มาเที่ยวคร้าบ การที่จะขึ้นไปที่องค์พระได้ ก็ต้องเดินขึ้นไปครับ อารมณ์ประมาณเดินขึ้นบันไดพญานาคเพื่อไปชมพระธาตุดอยสุเทพเลย... ใช้แรงเดินขึ้นไปพอหืดหอบ เอ๊ย..พอหอมปากหอมคอก็ถึงแล้ว อากาศข้างบนก็หนาวแบบพอทน แต่ลมแรงมาก ใครใส่หมวกไประวังจะโดนลมพัดตกเขาหายไปซะ วันนี้เล่นใส่หมวกมิคกี้เม้าส์ไป (เข้ากับสถานที่ม๊ากมาก) ก็โดนพัดร่วงไป 1 รอบ ดีนะยังตามไปเก็บได้ทันควัน... ภายในองค์พระจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ รวมถึงภายในมีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุให้เข้าไปสักการะด้วย แต่ต้องต่อแถวนิดนึง... เฉียดายข้างในห้ามถ่ายรูปครับ เมื่อเยี่ยมชมจนหมดแล้วก็เดินกลับลงมาข้างล่าง ไปรับของว่างมากิน ก็มีหมี่ผัดเจจานนึง เต้าฮวยน้ำขิงถ้วยนึง ขนมหวานอีกคนละ 4 ชิ้น (มันเป็นของว่างตรงไหนวะ กะเอาให้อิ่มเลยนะเนี่ย) นี่ขนาดซื้อบัตรอาหารว่างนะ แล้วถ้าเราซื้อบัตรพร้อมอาหารเที่ยงจะเป็นยังไงเนี่ย ก็เลยลองไปสำรวจดูคนที่ซื้อบัตรประเภทพร้อมอาหารเที่ยงเค้ากินอะไรกัน โอว..พระเจ้าช่วย กล้วยทอด เล่นโต๊ะจีนกันแต่หัววันเลย โอ้โห...เอากันงี้เลย ดีแล้วที่ไม่ได้ซื้อบัตรอาหารกลางวัน ไม่งั้นต้องมานั่งกินกันเป็นการเป็นงานแบบนี้ ไม่เอาดีกว่า เสียเวลา บอกแล้วว่ามาเที่ยว ไม่ได้มากิน ว่าแล้วก็ไปต่อกันดีกว่า กลับทางเดิม นั่งรถเมล์สายเดิมไปลง Tung Chung แต่ต่อ MTR ไปลงสถานี Tsing Yi ที่นี่เป็นเกาะเล็กๆ คั่นระหว่างเกาะลันเตา และ New Territories ฝั่งตะวันตก  ดังนั้นจึงมีสะพานใหญ่ 2 อันพาดผ่าน ดังนั้นเราจะไปชมความยิ่งใหญ่ของ 2 สะพานนี้กัน
 
จากสถานี Tsing Yi ต้องนั่งรถเมล์เล็กสาย 308M ค่ารถ 6 เหรียญ นั่งไปแป๊ปเดียวก็ถึงจุดชมวิว Lantau Link Visitors Center จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นสะพานทั้งสองสะพานได้อย่างชัดเจน สะพานแรกก็คือสะพาน Tsing Ma เป็นสะพานแขวน 2 ชั้นที่ยาวที่สุดในโลกเลยทีเดียว (ฮ่องกงนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ นะเนี่ย) สะพานนี้จะข้ามไปยังฝั่งเกาลูน ส่วนอีกสะพานก็คือสะพาน Ting Kau ที่ข้ามไปยังฝั่ง New Territories ฝั่งตะวันตก สะพานสองอันนี้เวลาเปิดไฟตอนกลางคืนก็สวยงามไม่แพ้กันเลยทีเดียว ว๊าก...แป๊ปเดียวจะเย็นแล้วเหรอนี่ ต้องรีบขึ้นไปบน The Peak ก่อน 5 โมงซะด้วย งั้นรีบไปดีกว่า
 
วิธีกลับไปยังสถานี Tsing Yi ก็ต้องนั่งรถเมล์สายเดิม แต่รอนานมากยังไม่มาซักที ก็เลยจำใจขึ้น Taxi ไป จากนั้นต่อ MTR สายสีส้มไปลงสถานี Hong Kong แล้วต่อรถเมล์สาย 15 นั่งไปสุดสายที่ The Peak พอดี ระหว่างทางดันเจอเหล่าแรงงานปิดถนนประท้วงอีก อุวะ..ยิ่งรีบๆ อยู่ ขบวนน่ะรีบๆ เดินหน่อยได้มั๊ย ผมจะได้ไปซะที อ้อ..แต่ถ้าใครรีบกว่าผม จะไปขึ้น Tram หรือรถรางขึ้นไป The Peak ก็ได้ โดยไปขึ้นที่สถานี Peak Tram เอา แต่ตอนขึ้นไป หากยังมีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์อยู่ ผมว่านั่งรถเมล์ขึ้นไป (ยิ่งนั้งชั้นบน จะดีมาก) จะได้เห็นวิวทิวทัศน์ดีกว่าขึ้นแทรมนะผมว่า อุ้ย..ลืมบอกเลยว่าเราขึ้นมาทำอะไรบนนี้ ก็ The Peak ชื่อก็บอกว่าสุดยอด เพราะมันเป็นจุดชมวิวที่ตั้งอยู่บนยอดเขาวิคตอเรียพีค ภูเขาที่สูงที่สุดบนเกาะฮ่องกง เมื่ออยู่ข้างบน ก็จะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเกาะฮ่องกงได้ทั้งหมด โอว...ซ่าร่า ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ อะฮ้า... (เบื่อจอร์ชแล้วเปลี่ยนเป็นซาร่ามั่ง)
 
ถึงแล้ว The Peak สัมผัสแรกเมื่อลงรถมาแล้วก็คือ "อูย..หนาวโว้ย" เหมือนอยู่บนยอดดอยเลย เดินไปเรื่อยๆ ก็ร้อง เฮ้ย...ตึกพีคทาวเวอร์ (Peak Tower) อาคารรูปร่างครึ่งวงกลมที่มีเอกลักษณ์สุดๆ กำลังปิดปรับปรุง โอว..โน เสียเส้นนิดหน่อย อดถ่ายรูปตึกนี้เลย... หวาย...อีกแป๊ปเดียวก็จะมืดแล้ว เดี๋ยวพลาดวิวตอนที่ยังมีแสงอยู่ต้องไม่ดีแน่ๆ เลย รีบไปหาจับจองที่ถ่ายรูปดีกว่า...
 
อู้หู...คนเพียบเลย "หลบหน่อยค้าบ หลีกทางให้ช่างภาพระดับโลกหน่อยค้าบ ผมมาจากนิตยสาร National Giodano" มั่วไปเรื่อยเลย... ซักพักไม่เป็นผล เกือบโดนเจ๊กแถวนั้นขากถุยใส่อีกต่างหาก ดีนะกระโดดหลบทัน งั้นไปที่อื่นก็ได้ ถัดไปอีกหน่อยไม่ค่อยมีคนดี โล่งๆ แต่วิวดีชะมัดเลย งั้นถ่ายตรงนี้แหละ ตั้งขา ตั้งกล้องเรียบร้อยเลย ถ่ายไปหลายชุด ถ่ายไปยืนสั่นไป หนาวจะตายอยู่แล้ว หน้าชา มือก็ชา เริ่มกดชัตเตอร์ไม่ไหวแล้ว มือมันสั่นไปหมด สุดท้ายต้องใช้ตั้งเวลาถ่ายเอา เอาล่ะ..ได้วิวตอนเย็นแล้ว ที่เหลือก็รอให้ฟ้ามืด แล้วค่อยถ่ายอีกรอบ จะได้วิวตอนกลางคืนไปด้วยเลย ไหนๆ ก็มาเวลานี้แล้ว ก็เลยต้องทนยืนหนาวเหน็บต่อไป
 
ที่ที่ผมยืนแรกๆ ก็ไม่มีคนเลย มีเพียงผมกับฝรั่งอีกคนที่มาตั้งกล้องเช่นกัน ท่าทางพี่แกโปรกว่าผมเยอะ อุปกรณ์พร้อมมากๆ กล้องก็ใหญ่กว่า มีสายลั่นชัตเตอร์ด้วย อูย...ท่าทางไม่ธรรมดา ผ่านไปได้ซักพักเริ่มมีคนสงสัยว่าไอ้ตากล้องสองคน (ผมกับฝรั่ง) มันไปทำอะไรกันตรงนั้นฟะ... ก็เริ่มทยอยเดินมาดูกัน มาเลียบๆ เคียงๆ จากเมื่อกี้มีกล้องแค่สองตัว ตอนนี้เริ่มมีเป็นสิบแล้ว คนอีกครึ่งร้อย พอฟ้ามืดผมก็เริ่มทำงานต่อ เริ่มถ่ายมุมโน้นที มุมนี้ที ซักพัก มีเจ้าที่มา (เจ้าที่ที่นี่ก็คือ คนที่รับจ้างถ่ายรูปให้นักท่องเที่ยว) รับจ้างทั้งถ่ายจริง และปลอม ราคา 50 เหรียญ ปลอมหมายถึงใช้คอมพิวเตอร์ตัดต่อเอาน่ะครับ ถ่ายแต่คนแล้วเอาไปตัดต่อใส่กับฉากหลังภาพวิวอันสวยงาม แต่ผมดูยังไงก็ตัดต่อได้ไม่เนียนเลย และเจ้าที่คนนี้แหละครับเริ่มมาไล่ที่ผม แรกๆ ก็พูดอ้อมๆ ประมาณว่า "คุณช่วยย้ายไปทางซ้ายนิดนึงได้มั๊ย" ก็ยอมย้ายให้ ต่อมาเริ่มถามว่า "คุณจะถ่ายตรงนี้อีกนานมั๊ย" (ผมสรุปใจความได้เองว่า "เมื่อไหร่มึงจะไปซะที มาแย่งที่ทำกินของกูทำไม" คงจะประมาณนั้น) ก็เลยบอกว่าเดี๋ยวก็ไปแล้ว อีกอย่างผมก็กำลังจะกลับพอดีด้วย ซักพักก็เลยเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับ อีตาคนนั้นยังมาชวนให้เราไปถ่ายรูปกับมันอีก มีการมาดูถูกเราอีกนะ บอกว่า "เค้าน่ะเป็นช่างภาพมืออาชีพนะจะบอกให้ ไอถ่ายออกมาสวยกว่ายูอีกนะ ถูกๆ เอง ฟิฟตี้ดอลล่าห์" นึกในใจว่า "ถ่ายก็โง่แล้ว ตั้ง 50 เหรียญ เห็นๆ อยู่ว่าเราก็เอากล้องมาเอง ยังจะมาชวนให้ไปถ่ายกับมันอีก ทะลึ่งแล้ว ทะลึ่งแล้ว" ดูภาพในจอคอมฯ ที่มันถ่ายให้คนอื่นก็งั้นๆ สวยตรงไหนวะ ฝีมือตัดต่อก็ไม่ได้เรื่อง ถ่ายให้ฟรียังไม่อยากเอาเลย...
 
ขากลับ ลองนั่ง Tram (รถราง) ลงดูบ้าง เร็วชะมัดเลย แป๊ปเดียวถึงข้างล่างเลย แต่เหมือนทำตังค์หายไปร้อยบาทในเวลาไม่กี่นาที... ลงมาข้างล่างก็หาข้าวกิน แล้วก็กลับที่พักไปเตรียมเก็บข้าวเก็บของ แพ็คกระเป๋าอีก พรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว งือๆๆๆ
 
 

วันที่ 10 (12.12.05)
 
9 โมงเช้า เช็คเอ้าท์โรงแรม โดนค่าแคนดี้บาร์ไป 160 บาทกับอีแค่น้ำเปล่า 4 ขวด แพงจัง... ลากกระเป๋าไปที่ป้ายรถเมล์ รอรถเมล์สาย A21 เช่นเดิมเพื่อไปสนามบิน พอรถขึ้นมาขึ้นไปบนรถ มีแต่คนไทยเต็มรถเลย ท่าทางจะกลับเมืองไทยกันวันนี้หมดเลยมั้งเนี่ย เพราะวันนี้เป็นวันหยุดชดเชยวันรัฐธรรมนูญที่บ้านเรา พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันทำงานตามปกติ พวกคนไทยก็คงจะต้องกลับกันวันนี้แหละ ท่าทางจะขึ้นเครื่องลำเดียวกันด้วยมั้งเนี่ย แอบได้ยินมาแว่วๆ
 
โอว..มายก็อด รถติด มาฮ่องกงตั้งหลายวันไม่เคยเจอรถติด ทำไมต้องมาเจอรถติดตอนกำลังจะไปเช็คอินขึ้นเครื่องด้วย เสียวตกเครื่องชะมัดเลย...  เจอรถนิ่งอยู่กับที่ซัก 10 นาทีไม่ขยับไปไหนเลยเริ่มใจไม่ดี โชคดีซักพักเริ่มวิ่งได้ตามปกติ ถึงสนามบินโดยสวัสดิภาพ และทันเวลา
 
พอเช็คอินเรียบร้อย ก็ต้องมาถึงเวลาที่ต้องทรมานจิตใจซะแล้ว ก็คือเวลาร่ำลานั่นเอง "จะไปล่ะนะหมูน้อย ไว้เจอกันใหม่นะ กระซิก กระซิก เทคแคร์นะดาร์ลิ้ง บ๊ายบายจ้า" งือๆๆ ตอนมาก็มาคนเดียว ตอนกลับก็ต้องกลับคนเดียวอีก แงๆๆๆ
พอเดินเข้าไปถึงจุดตรวจของ ใครมีของอะไรที่เป็นโลหะก็ต้องเอาใส่เตะกร้าวิ่งผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ เวลาเดินค่อยเดินผ่านเครื่องตรวจไปจะได้ไม่ดัง แต่คนข้างหน้าผมสิ เป็นพั๊งค์ครับ เห็นแล้วยังอดขำไม่ได้ ว่าจะทำไงดีให้เดินผ่านเครื่องโดยไม่ดังได้ เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็พี่แกเล่นเจาะหู เจาะจมูก เจาะคิ้ว เจาะลิ้น เจาะปาก เจาะทุกอย่างที่เจาะได้ ทุกที่ใส่ตุ้มเป็นเหล็กแทบทั้งนั้น ไม่รู้ข้างในร่มผ้าจะเจาะอะไรอีกหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ ใส่แหวนเต็มทุกนิ้ว เสื้อผ้า กางเกง รองเท้า ล้วนมีโลหะเป็นส่วนประกอบ ทำผมทรงโมฮ็อค สร้างความหนักใจให้เจ้าหน้าที่ไม่น้อยว่าจะตรวจยังไงดี ถึงกับเรียกเพื่อนตำรวจคนอื่นๆ มาช่วยกันพิจารณาและร่วมกันตัดสินใจว่าจะเอายังไงกับคนนี้ดี ใช้เวลานานเลยจึงยอมปล่อยให้ผ่านไปได้ เฮ้อ...แปลกๆ ดี ปนขำๆ ครับ
 
นั่งรอขึ้นเครื่องหน้า Gate หมายเลข 31 พอได้ขึ้นเครื่องพบว่าที่นั่งของตัวเองอยู่ตรงรูตูดของเครื่องบินเลยมั้ง แถวสุดท้ายพอดี ข้างหลังคือไม่มีใครอีกแล้ว
 
เครื่องออก 11 โมงครึ่งเป๊ง อาหารบนเครื่องขากลับเลือกกินปลาครับ อร่อยมาก เนื้อปลาล้วนๆ ชิ้นเบ้อเร่อเลย ชิ้นเดียวอิ่มเลย
 
กลับถึงกรุงเทพฯ แต่โดยดี ใจยังไม่อยากกลับ และยังไม่อยากถึงด้วย (ทำตัวเป็นเด็กๆ เลยเรา) เดินลงเครื่องด้วยใจเหี่ยวๆ ทำไมความสุขมันอยู่กับเราได้ไม่นาน แล้วมันก็จากไปเช่นนี้ แต่ความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ ไม่กลับวันนี้ ซักวันก็ต้องกลับอยู่ดี... เก็บมันไว้เป็นความทรงจำที่ดีดีกว่าครับ
 
สุดท้ายสำหรับการเดินทางครั้งนี้ ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ...
ขอขอบคุณ...ผึ้งและมาม๊าที่มารับมาส่ง และพาผมเที่ยวตลอดการเดินทางครั้งนี้ สนุกมากครับ
ขอขอบคุณ...พ่อกับแม่ที่มาส่งที่สนามบิน
ขอขอบคุณ...พี่ศร หัวหน้าของผม ที่อนุมัติวันลาพักร้อนครั้งนี้ให้
ขอขอบคุณ...ดา ที่ให้ข้อมูลการท่องเที่ยวในฮ่องกงที่มีประโยชน์มากครับผม
ขอขอบคุณ...น้าวุ้น ที่ให้ข้อมูลเรื่องการเลือกซื้อกล้องในฮ่องกง
และ ขอขอบคุณหลายท่านที่ไม่ได้เอ่ยถึง และขอบคุณที่ติดตามเรื่องราวจนจบครับ บ๊ายบาย...

 

Comments